เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ เม.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นยุคเป็นคราวนะ ถ้ายุคคราว คนเกิดมามีโอกาสสร้างบุญกุศล ดูสิเวลายุค เห็นไหม เกิดมาสมัยกึ่งพุทธกาล หลวงปู่ลีวัดอโศการามจัดสมโภชกึ่งพุทธกาล จัดงานใหญ่โตมากเลย จัดงานใหญ่โต แล้วครูบาอาจารย์เรามาเป็นกำลังไง มาเชิดชูศาสนา นี่คนเกิดมาเป็นยุคเป็นคราว คราวใดยุคใดได้ทำบุญกุศล ได้สะสมบุญกุศลไง

บุญกุศล ดูนะเวลาเราเกิดขึ้นมา ดูสิอย่างเช่นเราเป็นคนไทย โดยถ้าเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์นะ นี่เตี่ยเรามาจากเมืองจีน แม่เราเป็นลูกครึ่งเกิดในนี้ เราเป็นคนไทยไหม? แต่เราเกิดในเมืองไทย เราเป็นคนไทย เราเป็นคนไทยเพราะอะไร? เพราะจิตใจเราผูกพันกับไทยไง จิตใจเราผูกพัน เรารักชาติ ดูนะดูอย่างพวกทางยุโรปเข้ามาเขาศึกษาภาษาไทย เขารักวัฒนธรรมไทย แต่ทางกายภาพเขาเป็นฝรั่งนะ เขาไม่ได้เป็นคนไทยเลย แต่ในหัวใจทำไมเขารักล่ะ?

นี่เราบอกว่าการพัฒนาของร่างกายส่วนหนึ่ง การเกิดของมนุษย์สังคมมันแปรสภาพไปส่วนหนึ่ง เวลาจิตมันเกิดมันตาย เวลาพัฒนาทางร่างกาย เวลาพัฒนาทางวัคซีนป้องกันให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อโรค คัดสายพันธุ์กันเพื่อจะให้สังคมให้คนเจริญเติบโตขึ้นมา แต่การคัดสายพันธุ์ของใจล่ะ? ถ้าใจได้สะสมมา เห็นไหม ใจได้สะสมมา ใจมันเกิดมันตายขึ้นมา มันเป็นจริตเป็นนิสัยนะ

เรื่องข้างนอกเป็นเรื่องข้างนอก ประชาชนต่อไปจะคลับคล้ายกัน เพราะอะไร? เพราะการเคลื่อนย้ายของสังคมมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เรื่องของหัวใจล่ะ? การเคลื่อนย้ายได้ไหม? มันต้องมีการพัฒนานะ เราสร้างบุญกุศล ที่ว่าเราเกิดมาถึงคราวถึงยุคถึงสมัย นี่ไง ถึงคราวถึงยุคถึงสมัย สมัยที่มันเจริญรุ่งเรือง สมัยที่ว่าสังคมสงบร่มเย็น เขาเกิดมาสมัยสงครามข้าวยากหมากแพง ต้องมีความทุกข์ความยากไป แล้วคนจะเกิดมาสภาวะแบบนั้น

ย้อนกลับไปเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลก เห็นไหม ดูสิเปลือกของโลกเคลื่อนไปตลอดเวลา เปลือกของโลกไม่คงที่นะ มันจะเคลื่อนไปตลอดเวลา แต่ถ้ามันเคลื่อนไหวรุนแรงไปมันก็เกิดแผ่นดินไหว นี่มันจะแปรสภาพของมันตลอดไป โลกก็เป็นแบบนั้น โลกถึงเป็นอนิจจังไง โลกเป็นอนิจจัง โลกแปรสภาพไปตลอดเวลา แล้วเราเกิดเป็นยุคเป็นคราวขึ้นมา เรื่องของโลกก็ส่วนหนึ่ง เรามองโลกถ้ามองความเข้าใจนะ เราทำเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ ไฟเป็นของร้อน แต่เราเอาไฟไปใช้ประโยชน์ไง

นี่ก็เหมือนกัน โลกมันเคลื่อนไปสภาวะแบบนั้น ถ้าเราเข้าใจมัน เราทำมัน เราควบคุมมัน มันก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าเราไปแบกมันเราก็เป็นทุกข์เป็นยากนะ ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ท่านแสดงธรรมออกไป เขาจะเอาหรือไม่เอามันเรื่องของเขานะ แต่ธรรมเหนือโลก ธรรมที่แสดงออกไป แต่โลกจะเอาหรือไม่เอาล่ะ? มันเป็นความเห็นของเขา นี่ความเห็นของเขา

เหมือนกันเลย เราเกิดมาชีวิตหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วต้องพลัดพรากจากกัน เราต้องสิ้นชีวิตไปเป็นธรรมดา แต่หัวใจมันไม่เคยตาย สิ่งที่ว่าไม่เคยตายสิ สิ่งที่ไม่เคยตาย เห็นไหม แล้วมันเป็นความผูกพัน ความผูกพันนะ นี่รูปกายข้างนอกส่วนหนึ่ง แต่หัวใจมันมั่นคงของมันขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะมันนิ่งของมันไง มันเข้าใจของมัน นี่รู้แจ้งโลกนอกโลกใน ถ้ารู้แจ้งโลกในแล้ว ความรู้แจ้งโลกใน รู้แจ้งจนหมดกระบวนการของมันแล้วมันเข้าใจไปหมดไง รู้แจ้งโลกใน แต่ทางวิทยาศาสตร์เขารู้เป็นส่วนๆ นี่วิชาชีพส่วนใด นักวิทยาศาสตร์แขนงใด สาขาใด เขาก็รู้เฉพาะสาขาของเขา เขาไม่เข้าใจเรื่องไปทั้งหมด รู้ส่วนใดมันก็เฉพาะส่วนนั้น แต่เขาก็สงสัยส่วนอื่น

แต่ถ้าเรามารู้จักโลกภายใน รู้จักต้นขั้วของความคิดออกมาจากภายใน เห็นไหม จิตมันพัฒนามาอย่างนั้น มันถึงไม่ตื่นเต้นไปกับโลกนอก ถ้าโลกในมันจบกระบวนการของมันแล้วจะไม่ตื่นเต้นกับโลกนอกเลย โลกนอกกับโลกใน ความเป็นไปของร่างกายและความเป็นไปของจิตใจ ถ้าความเป็นไปของจิตใจ เราถึงว่าเกิดยุคใดสมัยใดคราวใด ยุคใดสมัยใดคราวใดมันก็เป็นโอกาส

ถ้าเป็นโอกาส ดูนะดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องปรารถนา เป็นพุทธมารดาก็ต้องปรารถนาเป็นพุทธมารดา เป็นพระบิดาก็ต้องปรารถนา เป็นอัครสาวกก็ต้องปรารถนา แต่สาวก สาวกะ แล้วเป็นไปขับเคลื่อนเพราะมันแปรปรวนตลอดเวลา ถ้าเราแปรปรวน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาต เห็นคฤหัสถ์ ๒ คนนั่งอยู่นี่ยิ้ม ตอนเย็นพระอานนท์ถามว่า

“ยิ้มเพราะเหตุใด”

“คฤหัสถ์ ๒ คนนี้ถ้าเจอเราขณะที่ว่าเขาเป็นคหบดีอยู่ อย่างน้อยเขาจะได้เป็นพระอนาคา”

แต่ปัจจุบันก็เจอ นี่สาวกสาวกะมันแปรปรวนอย่างนี้ไง ถ้าโอกาสของเขา ถ้าเกิดฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วซึ้งใจ พอใจการกระทำนั้น มันสามารถทำได้ นี่บุรุษอาชาไนยจะเลือกสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับตัวเอง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจเราทำอะไรล่ะ? สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจ ดูสิเวลาเขาฉีดวัคซีนกัน เขาป้องกันร่างกายของเขาเพื่ออะไร? เพื่อไม่ให้ติดไข้

ศีลก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศีลเป็นความปกติของใจ เห็นไหม สิ่งนั้นจะเข้ามาเรื่องของหัวใจเราไม่ได้ ถ้าหัวใจของเรามีวัคซีนป้องกัน ถ้ามีวัคซีนป้องกันขึ้นมาแล้ว แล้วมันจะพัฒนาขึ้นมาของมันอีกชั้นหนึ่ง ถ้าพัฒนาขึ้นมามันก็เห็นจากภายใน นี่มันเป็นความสุขจากภายในนะ ความสุขจากภายนอกส่วนหนึ่ง ความสุขจากภายนอกคือเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข เช่น เราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมา ดูจักรพรรดิสิ พระจักรพรรดิเวลาเกิดขึ้นมา สังคมจะปรับสภาพเข้าหากัน สิ่งส่วนหนึ่ง นี่สิ่งมีขุนนางแก้ว ขุนคลังแก้ว ทุกอย่างเสมอกัน แล้วเวลาจักรมันหมุนล่ะ? ถ้าจักรมันหมุนถึงคราวๆ จักรพรรดิต้องออกบวช เพื่อสังคมเป็นสภาวะแบบนั้น

ดูเวลาผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้าผู้ทรงศีลทรงธรรมอยู่ในอาณาจักรของใคร? จักรพรรดิองค์นั้น นี่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขไหม? ถ้าสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่เรื่องศิลปวัฒนธรรมมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมาก เพราะอะไร? เพราะเราไม่อัตคัดขาดแคลน ถ้าเวลาเขาอัตคัดขาดแคลนล่ะ? สิ่งที่อัตคัดขาดแคลน สังคมมันก็ต้องแบกรับภาระนั้นไป วัฒนธรรมก็ต้องแปรปรวนไปธรรมดา

นี่เกิดเป็นยุคเป็นคราวเป็นสภาวะแบบนี้ นี่คนบุญเกิด คนบาปเกิด ถ้าเกิดมาทุกข์มายากก็เกิดมาทุกข์มายาก แต่มันก็ซ้อนกันนะ ในสงครามก็มีเศรษฐีขึ้นมาได้ เพราะอะไร? เพราะเขาค้าขายในสงครามนั้น วิกฤติอย่างนั้นสร้างคนขึ้นมาได้

นี่ก็เหมือนกัน ทุกสังคมมีคนดีและคนเลวปนกัน มันอยู่ที่จุดยืนของใจ ถ้าใจมีจุดยืนของเขาขึ้นมา สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเขาทั้งหมดเลย ประโยชน์ เห็นไหม เพราะจะเข้าใจสภาวะแบบนั้น ถึงวิกฤติเราก็สร้างบุญกุศลของเราได้ เราก็พาสังคมนั้นไปร่มเย็นเป็นสุขได้ ถึงสังคมมีความสงบร่มเย็นเราก็ทำประโยชน์ของเราได้ แต่ถ้ามันเป็นจิตใจที่มันเห็นแก่ตัว มันเอาเปรียบเขา จะสังคมอย่างใดมันก็ทำลายไปหมดเลย มันทำลายนะ ทำลายโดยที่ไม่มีใครรู้ ทั้งๆ ที่ใจเราก็ไม่รู้ เพราะโลกในมันมืดไง โลกในมันมืดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์

ความเป็นประโยชน์อย่างหยาบๆ เราได้สังคม ได้จุดยืน ได้ความมั่นคงของใจ เห็นไหม มันเป็นสังคมหยาบๆ แต่ถ้าคนมีศีลมีธรรมล่ะ? นี่เราเสียสละ ได้อาหารมาเราก็ให้ผู้อื่นก่อน ให้ผู้อื่นก่อน เราจะไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย สังคมกลับมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราจะมีความทุกข์ ความยากเป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะอะไร? เพราะว่าการปรารถนาของตัณหาความทะยานอยากกับความเป็นจริงมันต่างกัน ตัณหาความทะยานอยากมันเอามาสะสม เอามาเกินความพอดี

ถ้าความเป็นธรรมนะมันเป็นความพอดีของมัน เราอดหรือเราอิ่มขนาดไหน ชีวิตเราจะไม่ถึงเป็นอย่างนั้นไปหรอก เราจะไม่ถึงกับตายไป แต่ถ้าเราทำสภาวะอย่างนั้นมันจะกลับมา นี่ผู้มีธรรมจะเป็นสภาวะแบบนั้น ผู้มีธรรมไม่เห็นแก่ตัว แม้แต่ของเราอัตคัดขาดแคลนขนาดไหนมันก็เจือจานกัน พอเจือจานกันสังคมร่มเย็นเป็นสุขไหม? แต่ถ้ามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันว่ามันไม่พอ สิ่งนี้เป็นความพอดีของเรา แล้วก็เป็นความวิตกกังวล มันก็สะสมเข้าไปจนคนอื่นเขาเดือดร้อนไปหมดไง

สิ่งที่เดือดร้อนไปหมดเพราะอะไรล่ะ? เพราะหัวใจมันอ่อนแอ โลกในมันบกพร่อง ถ้าโลกในมันบกพร่อง น้ำในภาชนะถ้ามันบกพร่อง มันจะมีเสียงดังมาก ถ้าน้ำในภาชนะนั้นเต็ม สิ่งนั้นเสียงจะเบามาก มันจะเป็นความนิ่งของใจดวงนั้น นี่ความปรารถนาจากภายใน การพัฒนาของจิตนะ จิตนี้ไม่เคยตาย มันจะพัฒนาของมันไป ถึงมีพระโพธิสัตว์ ถึงมีผู้ที่มีวุฒิภาวะของใจสูงและต่ำ แล้วถ้าสังคมนั้นมีวุฒิภาวะที่สูงขึ้นมา การสื่อสารการพัฒนามันก็ง่ายขึ้น แต่มันเป็นไปได้ไหมล่ะ? เพราะอะไร? เพราะมันเป็นผลของวัฏฏะไง

เวลาครูบาอาจารย์นะ ในพระไตรปิฎกมีปัญหาขึ้นมา นี่จะไม่มีความผูกแค้น ไม่มีความผูกโกรธ บอกอย่างนี้คือผลของวัฏฏะ เหมือนกับในสวนผลไม้สวนหนึ่ง มันมีพรรณไม้ต่างๆ เกิดขึ้นมา แล้วฤดูกาลการให้ผล ออกดอกออกผลมันก็ต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน การเกิดของแต่ละวาระ ระหว่างพ่อแม่ลูก เห็นไหม การเกิดก็ต่างกัน ความเห็นของเด็กความเห็นของผู้ใหญ่มันก็ต่างกัน นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือมันไม่สมความปรารถนาของเราไง เวลาเราโตขึ้นมาแล้วเราต้องการให้เด็กพัฒนามาเสมอเรา มาทันเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เด็กมันจะพัฒนาไปถึงยุคคราวของเขา มันจะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา พัฒนาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ขึ้นมา แล้ววุฒิภาวะของเขาก็จะพัฒนากันไป แต่ของเรากาลเวลามันบังไว้อย่างนี้

กาลและเวลา ถึงกาล ถึงคราว นี่อกาลิโก ถึงว่าสภาวธรรมที่ไม่มีกาลไม่มีเวลาเป็นส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของวัฏฏะมันเป็นกาล มันเป็นเวลา มันเป็นยุค มันเป็นสมัย แล้วการเกิดนี่เกิดในยุค ในสมัยใด ดูสิเวลาพระโพธิสัตว์ปรารถนาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่รอไว้ก่อนเลย ถึงยุคถึงสมัยมันจะแปรสภาพไป

ดูกาลเวลา เห็นไหม ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขา ๑ วัน นี่มันสับเปลี่ยนกันไป เขารอแค่ ๑ วัน เรานี่ไป ๑๐๐ ปี แล้วเราว่ารอถึงกัปหนึ่ง มันจะยาวนานขนาดไหน ๕,๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ปี เกิดมาชีวิตนี้ ๘๐,๐๐๐ ปี เกิดมา ๘๐ ปี ถึงคราวทุกสิ่งจะแปรสภาพอย่างนี้ไป โลกเจริญแล้วเสื่อมมันแปรสภาพของมัน นี่เราไปคิด ไปคาด ไปหมาย ในปัจจุบันนี้เราคาดไปอนาคต เราคาดไปในอดีต เราคาดไปหมดเลย ในปัจจุบันนี้เราทำคุณประโยชน์อะไรเพื่อเรา ถ้าในปัจจุบันทำประโยชน์เพื่อเรา

เวลานี่เป็นสมมุตินะ จะกี่ชั่วโมงกี่นาทีก็สมมุติ ปัจจุบันนี้เรามีความสุขของเรา ปัจจุบันนี้สิ่งที่เป็นปัจจุบัน เห็นไหม ชีวิตของสัตว์อายุเขา ๗ วัน ชีวิตของเรา ๑๐๐ ปี ชีวิตนี้มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติอันหนึ่ง ถ้าเรามีจิตอันนี้ ความสุขอันนี้ มันพอใจกับอันนี้ สิ่งนี้มันเป็นปัจจุบัน แล้วย้อนกลับมาถึงจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเรามันพัฒนามาอย่างนี้ จะไม่ไปวิตกกังวลกับสิ่งใดๆ เลย

เมื่อวานมีมา ทุกคนปรารถนาว่าจะไปเกิดพบพระศรีอารย์ สิ่งใดจะสะดวกสบายหมด เราถามเขาว่า “เอ็งมีสิทธิ์อะไรจะไปเกิดยุคพระศรีอารย์ เอ็งมีสิทธิ์อะไร? พวกเอ็งนี่เอ็งปรารถนาเอ็งมีสิทธิ์อะไรกัน?” การจะปรารถนามันต้องสร้างบุญกุศลมาร่วมกัน นี้เอ็งคิด เอ็งคาดหมาย ฝันไปในอนาคตไง

แล้วในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเราพบพุทธศาสนา แล้วเราไม่ศึกษากัน เราไม่ประพฤติปฏิบัติกัน ว่าประพฤติปฏิบัติแล้วมันยาก เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันต่อต้านไง ความเห็นจากภายในมันต่อต้าน การกระทำคุณงามความดีของเรามันก็เป็นเรื่องเสียเปรียบๆ ไปหมด ทำอะไรก็มีการเสียเปรียบ เราเสียเปรียบ เราแพ้เขา เราแพ้เขา

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร การแพ้การชนะกันนี้มันเป็นการแพ้ชนะจากมุมมองของแต่ละบุคคลนะ แต่ถ้าการแพ้เพื่อจะชนะ แพ้เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่เราเป็นผู้แบกรับเขา เราเป็นคนจุนเจือเขา สิ่งที่เราทำสภาวะแบบนี้ขึ้นไป แล้วจิตนี้มันจะมีบุญกุศล ไอ้บุญพาเกิดอันนี้ต่างหาก แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเลย ขณะเกิดในปัจจุบันพบพุทธศาสนายังปฏิเสธ รอเวลานั้นๆ แล้วจะไปเกิดพบพระศรีอารย์ เพราะอะไร?

เพราะเหตุของเรามันต่ำเกินไป แต่เราคาดหมายไป เพราะเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกหนหนึ่ง แล้วสังคมนั้นจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็ปรารถนากันๆ เราปรารถนาเราได้ทำเหตุสมควรไหม? ความไม่สมควร

เราถึงบอกว่า คิดนี่มันคิดได้ แต่ความเป็นจริงมันจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่? ถ้าความจริงคิดหรือไม่ เห็นไหม นี่ถึงเหมือนกับที่ว่าเราสมัครงานสิ่งใด เขาเต็มแล้ว เขาล้นแล้ว เราเข้าไปไม่ได้ มันจะเป็นอย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน ได้แต่คิดเอานะ ทั้งๆ ที่ว่าของในปัจจุบันนี้มี ความคิดของกิเลสมันเป็นอย่างนี้ มันเลื่อนไป มันคาดหมายไป มันทำไปให้เราเสียโอกาส สิ่งที่เสียโอกาสเราไม่ต้องไปคิดสภาวะแบบนั้น คิดในปัจจุบันนี้ ถ้ามันแก้ที่ปัจจุบันนี้จบมันก็จบ ถ้าแก้ไม่จบเราก็สะสมบุญญาธิการไป มันจะเป็นไปหรือไม่เป็นไปมันเป็นที่เหตุ

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” สิ่งคุณงามความดีทั้งหลายมาแต่เหตุ เราสร้างบุญกุศลของเราขึ้นมามันจะทุกข์จนเข็ญใจอย่างนี้เป็นเพราะว่าเราไปยึด ถ้าเราไม่ยึดสิ่งนี้มันจะไม่ทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์สิ่งใดเลย เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เราไปยึด มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสัจธรรมเป็นธรรมดา แต่ถ้ามันเป็นภาระรับผิดชอบว่าเราต้องการทำความดีขึ้นมา เราไม่ใช่ยึด เพียงแต่มันเป็นมรรค เป็นความต้องการ ความปรารถนาที่เราทำให้ดี เราจะไม่ไปเสียใจดีใจกับมัน มันก็ไม่เหนื่อยมากเกินไป มันก็ไม่เครียดมากเกินไป มันก็ไม่เป็นทุกข์กับหัวใจนี้มากเกินไป

สิ่งที่สุดวิสัย นี่ผลของวัฏฏะเป็นอย่างนี้ มันเป็นผลของวัฏฏะใช่ไหม? ถ้าเราเห็นเป็นผลของวัฏฏะ เราเห็นเป็นผลของการแปรสภาพไปของธรรมชาติ เราก็จะไม่ไปทุกข์ร้อนกับมัน แต่ถ้าเราสร้างคุณประโยชน์ได้ มันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถึงที่สุดถ้ามันไม่เกิดอีกมันทำลายเชื้อไขอันนี้หมดมันก็เป็นการพัฒนาใจของเรา นี่โลกใน

จิตพัฒนามาอย่างนี้ จิตเข้มแข็งขึ้นมาได้อย่างนี้ ร่างกายเข้มแข็งขึ้นมาโดยการกระทำของเรา แต่ขณะที่เข้มแข็งขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของสภาวะกรรม คนเกิดมาไม่เหมือนกัน กรรม เห็นไหม เรื่องกรรมมันจะให้ผลต่างๆ กันไป แต่การกระทำของจิต กรรมถึงที่สุดแล้วมันก็ทำลายหมด ถึงที่สุดกรรมอันนี้ก็สิ้นสลายไป กรรม...กรรมแก้ไขได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรม ถึงที่สุดแล้วกรรมดีและกรรมชั่ว จิตนี้พ้นออกไปจากกรรมดีและกรรมชั่ว

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)